เคยกินตำป่าไหมคะ ....
ใครเป็นเด็กอีสาน แถว มหาสารคามต้องรู้จักตำป่าเป็นอย่างดี
เรียกว่าอาหารเทพเลยก็ว่าได้
เพราะตำป่า จะมีส่วนผสมของเครื่องตำที่มากกว่า 50 ชนิด
ทั้งหอยเชอรี่ ปลากรอบ กล้วยดิบ ปล้าร้า ปลาส้ม ถั่วงอก กะหล่ำปลี ผักกาดดอง มะละกอ ไข่ต้ม ปลาหมึก กุ้ง หอย ทะเล โอ๊ย เยอะคะ
เอาเป็นว่าคนแรกที่ตำนะ ไม่รู้แกร์คิดได้ไง เหมือนกันที่นำเอาความหลากหลายทางชีวภาพ มาผสมรมรื่นกันได้ขนาดนี้ .... แถมดันอร่อยด้วย แซ่บ นัว สุดขีด ปรี๊ดแตก .... เหมือนจะมั่วที่ใส่อะไรลงไปในครกมากมาย ไม่มีความหมาย ไร้สาระ แต่กลับ อร่อย เปรี้ยว หวาน มัน เผ็ด เจ็ดยอดบุรุษ อย่างคาดไม่ถึง
วันนี้ชั้นมานั่งพิจารณาชีวิต
บางที ชีวิตเราทุกคน ก็เหมือนตำป่านั่นแหละคะ ....
เราไม่ได้ กะเกณฑ์ ตักตวง อย่างพอเหมาะหรอก เพราะบางทีก็มีคนแอบเอาส่วนผสม นั่น นู่น นี่ ตำใส่รวมกัน แถมเรายังปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ .... แต่ผลที่ออกมา ชีวิตเราก็ แซ่บเกินคาด
....เพราะปกติ ของภาควิชานี้เราเน้นการเรียนรู้พฤติกรรมคะ
เราจะไม่พูด ไม่บอก บังคับให้ใครทำอะไร ตามที่เราต้องการทั้งสิ้น .... แต่จะใช้วิธีการสื่อสาร แบบ Indirect คือ สื่อเป็นนัยๆ ว่าควรจะทำอย่างนี้ เป็นการ Applied จิตวิทยาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ และถ้าใครสามารถอกสั่น ขวัญระทึกกับ การพูด การเขียน การแสดงท่าทางของเรา แบบเป็นนัยยะได้ .... ถือว่าสำเร็จคะ ใช้จิตวิทยากำหนด พฤติกรรมผู้บริโภคได้ ฮ่าๆๆๆ (นั่นมันเรื่อง Marketing จะเอามาเมาท์อีกทีภายหลัง)
วิชาแรกที่ดิฉันเรียน แล้วประทับใจไม่รู้ลืมนะเหรอคะ มันชื่อว่า
Art of Writing .... อ่านไม่ผิดหรอกคะ มันชื่อ วิชาศิลปะแห่งการเขียน .... นี่มั้งคะ ที่ทำให้ติดนิสัยมาตั้งแต่ปี 3 คือชอบเขียน (เพื่อน อาร์ท เด็กวิศวะมหานครเคยแซวชั้นว่า ....ทุกตัวอักษร บัวเขียนได้แรงมาก .... ถ้ารักก็จะซึ้งแรง ถ้าขำนี่ก็จะ ฮาถล่ม .... อาร์ทเคย "อวยว่า" ชั้นมีพรสวรรค์ด้านนี้สูง ไม่ควรเรียนสาธารณสุขเลย แหมแอบคิดถึงอาร์ทจัง) ..... เอาละนั่นคือเรื่องที่ ว้าวุ่นกับอาร์ทบ่อยๆ
มาอีกหนึ่งวิชา ที่ชั้นชอบมาก แต่ไม่เคยได้แสดงความรักกับวิชานี้อย่างชัดเจนเลย วิชานั้นเราเรียกกันว่า
Material Of Art... เชื่อไหมคะ ว่าวิชานี้เรา "เรียนถ่ายรูปกันคะ" เราเรียนถ่ายรูปกันจริงๆ เราเรียน จุด ก,ข,ค,ง ... เรียน ชัดตื้น ชัดลึก เรียนการ Focus และการสื่อความหมาย ดิฉันชอบเรียนวิชานี้มาก เสียแต่ว่าตอนนั้นไม่มีเงินจะซื้อ กล้องดีๆ ซักตัว เลยไม่ค่อยได้เก็บและแสดงผลงาน หรือ เล่าให้ใครฟังซักเท่าไหร่ว่า ชอบการถ่ายรูปสุดๆ (ตอนเรียน อ้อมถ่ายได้สวยอันดับหนึ่งนะ ส่วนดิฉันถ่ายสวยเป็นอันดับที่สองคะ อิอิ)
ดิฉันชอบหลักการของวิชานี้มาก .... นั่นคือ เราไม่สามารถเล่าทุกเรื่องราวได้หรอก เราต้องเลือกส่วนที่สำคัญที่สุด แล้ว "Focus On" เสนอจุดนั้นออกมาจุดเดียว ....
การถ่ายถาพ ไม่ได้เป็นอาชีพที่รวย หรือดูดี หรือดูเทพมากมาย แต่การถ่ายภาพเป็นเหมือนการบันทึกความรู้สึก ลงกรอบเล็กๆ ... แต่แฝงด้วยความหายที่ยิ่งใหญ่ !!
เพราะชีวิตมันมีเรื่องราว ความรู้มากมาย รวมกัน หลากหลายจนปัจจุปันนี้
ชั้นจึงค่อนข้างมั่นใจไปอีกระดับว่า .... ถึงตัวเองจะไม่ได้รู้ลึกซึ้ง และเอาไปทำ Specialist ไม่ได้ ...
แต่รู้กว้าง ก็เป็นประโยชน์ได้เหมือนกัน
เพราะทำให้เข้าใจสังคมได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องอิงทฤษฎีอะไรเยอะแยะ
เราเอาความรู้ทางศิลป์ ไปเสริมความน่าสนใจทางศาสตร์ (ใครก็รู้ว่าพูดถึงวิชาการแล้วน่าเบื่อทุกที เราก็เอาสีสันของความเป็นศิลปะ ใส่ลงไป สดใสขึ้นเยอะ)
หรือบางทีเราเอาความรู้ทางศาสตร์ มาปักลงที่กองศิลป์ .... ก็จะตีความเรื่องราวที่เป็น Abstract ได้เป็นระบบดีขึ้น
และสุดท้าย เอาความรู้ด้าน management มาปักลงที่กองของทั้ง ศาสตร์และศิลป์เพื่อจัดระเบียบทางความคิดให้มันเป็นแบบแผนชัดเจน ....
หนึ่งภาพ มันล้านความหายคะ .... แต่ถ้าให้เลือกผู้ชาย เจ๊ก็ยืนยันที่จะเลือกจากฝั่ง Art คะ
(ไม่เอาฝั่งAcademic หรือ ฝั่ง Management แน่นอน)
ใครเป็นเด็กอีสาน แถว มหาสารคามต้องรู้จักตำป่าเป็นอย่างดี
เรียกว่าอาหารเทพเลยก็ว่าได้
เพราะตำป่า จะมีส่วนผสมของเครื่องตำที่มากกว่า 50 ชนิด
ทั้งหอยเชอรี่ ปลากรอบ กล้วยดิบ ปล้าร้า ปลาส้ม ถั่วงอก กะหล่ำปลี ผักกาดดอง มะละกอ ไข่ต้ม ปลาหมึก กุ้ง หอย ทะเล โอ๊ย เยอะคะ
เอาเป็นว่าคนแรกที่ตำนะ ไม่รู้แกร์คิดได้ไง เหมือนกันที่นำเอาความหลากหลายทางชีวภาพ มาผสมรมรื่นกันได้ขนาดนี้ .... แถมดันอร่อยด้วย แซ่บ นัว สุดขีด ปรี๊ดแตก .... เหมือนจะมั่วที่ใส่อะไรลงไปในครกมากมาย ไม่มีความหมาย ไร้สาระ แต่กลับ อร่อย เปรี้ยว หวาน มัน เผ็ด เจ็ดยอดบุรุษ อย่างคาดไม่ถึง
วันนี้ชั้นมานั่งพิจารณาชีวิต
บางที ชีวิตเราทุกคน ก็เหมือนตำป่านั่นแหละคะ ....
เราไม่ได้ กะเกณฑ์ ตักตวง อย่างพอเหมาะหรอก เพราะบางทีก็มีคนแอบเอาส่วนผสม นั่น นู่น นี่ ตำใส่รวมกัน แถมเรายังปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ .... แต่ผลที่ออกมา ชีวิตเราก็ แซ่บเกินคาด
คะ ดิฉันมั่นใจว่า ชีวิตแซ่บเกินคาดจริงๆ มันอาจจะเริ่มตั้งแต่ เรียนมหาลัยด้วยมั้ง ที่ชีวิตเริ่มจะมีส่วนผสมมากมาย หลายร้อย ความทรงจำ และเริ่มจะเริ่มกลมกล่อมเข้าที่ นัวติดลิ้น ตอนอายุ 30
ตอน เรียนมหาลัยปี 3 ที่เลือก ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ เราเริ่มจะศึกษาอะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกแล้ว เราแปลงร่างมาเรียนวิชาศิลป์กันล้วนๆ .... ไม่ว่าจะเป็น เรียนการแสดง เรียนการจิตวิทยาสังคม การวิเคราะห์หนัง (เอามาหากินได้ด้วยนะสิวิชานี้ เหอะๆ ไปรับจ้างเป็นฟรีแลนต์อยู่ตั้งพักใหญ่) หรือการเรียน Pubic speaking การพูดในที่ชุมชน แบบซีดส์ๆ เปรี้ยว เขย่าอารมณ์ ผสมความฮา
....เพราะปกติ ของภาควิชานี้เราเน้นการเรียนรู้พฤติกรรมคะ
เราจะไม่พูด ไม่บอก บังคับให้ใครทำอะไร ตามที่เราต้องการทั้งสิ้น .... แต่จะใช้วิธีการสื่อสาร แบบ Indirect คือ สื่อเป็นนัยๆ ว่าควรจะทำอย่างนี้ เป็นการ Applied จิตวิทยาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ และถ้าใครสามารถอกสั่น ขวัญระทึกกับ การพูด การเขียน การแสดงท่าทางของเรา แบบเป็นนัยยะได้ .... ถือว่าสำเร็จคะ ใช้จิตวิทยากำหนด พฤติกรรมผู้บริโภคได้ ฮ่าๆๆๆ (นั่นมันเรื่อง Marketing จะเอามาเมาท์อีกทีภายหลัง)
วิชาแรกที่ดิฉันเรียน แล้วประทับใจไม่รู้ลืมนะเหรอคะ มันชื่อว่า
Art of Writing .... อ่านไม่ผิดหรอกคะ มันชื่อ วิชาศิลปะแห่งการเขียน .... นี่มั้งคะ ที่ทำให้ติดนิสัยมาตั้งแต่ปี 3 คือชอบเขียน (เพื่อน อาร์ท เด็กวิศวะมหานครเคยแซวชั้นว่า ....ทุกตัวอักษร บัวเขียนได้แรงมาก .... ถ้ารักก็จะซึ้งแรง ถ้าขำนี่ก็จะ ฮาถล่ม .... อาร์ทเคย "อวยว่า" ชั้นมีพรสวรรค์ด้านนี้สูง ไม่ควรเรียนสาธารณสุขเลย แหมแอบคิดถึงอาร์ทจัง) ..... เอาละนั่นคือเรื่องที่ ว้าวุ่นกับอาร์ทบ่อยๆ
มาอีกหนึ่งวิชา ที่ชั้นชอบมาก แต่ไม่เคยได้แสดงความรักกับวิชานี้อย่างชัดเจนเลย วิชานั้นเราเรียกกันว่า
Material Of Art... เชื่อไหมคะ ว่าวิชานี้เรา "เรียนถ่ายรูปกันคะ" เราเรียนถ่ายรูปกันจริงๆ เราเรียน จุด ก,ข,ค,ง ... เรียน ชัดตื้น ชัดลึก เรียนการ Focus และการสื่อความหมาย ดิฉันชอบเรียนวิชานี้มาก เสียแต่ว่าตอนนั้นไม่มีเงินจะซื้อ กล้องดีๆ ซักตัว เลยไม่ค่อยได้เก็บและแสดงผลงาน หรือ เล่าให้ใครฟังซักเท่าไหร่ว่า ชอบการถ่ายรูปสุดๆ (ตอนเรียน อ้อมถ่ายได้สวยอันดับหนึ่งนะ ส่วนดิฉันถ่ายสวยเป็นอันดับที่สองคะ อิอิ)
ดิฉันชอบหลักการของวิชานี้มาก .... นั่นคือ เราไม่สามารถเล่าทุกเรื่องราวได้หรอก เราต้องเลือกส่วนที่สำคัญที่สุด แล้ว "Focus On" เสนอจุดนั้นออกมาจุดเดียว ....
การถ่ายถาพ ไม่ได้เป็นอาชีพที่รวย หรือดูดี หรือดูเทพมากมาย แต่การถ่ายภาพเป็นเหมือนการบันทึกความรู้สึก ลงกรอบเล็กๆ ... แต่แฝงด้วยความหายที่ยิ่งใหญ่ !!
เพราะชีวิตมันมีเรื่องราว ความรู้มากมาย รวมกัน หลากหลายจนปัจจุปันนี้
ชั้นจึงค่อนข้างมั่นใจไปอีกระดับว่า .... ถึงตัวเองจะไม่ได้รู้ลึกซึ้ง และเอาไปทำ Specialist ไม่ได้ ...
แต่รู้กว้าง ก็เป็นประโยชน์ได้เหมือนกัน
เพราะทำให้เข้าใจสังคมได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องอิงทฤษฎีอะไรเยอะแยะ
เราเอาความรู้ทางศิลป์ ไปเสริมความน่าสนใจทางศาสตร์ (ใครก็รู้ว่าพูดถึงวิชาการแล้วน่าเบื่อทุกที เราก็เอาสีสันของความเป็นศิลปะ ใส่ลงไป สดใสขึ้นเยอะ)
หรือบางทีเราเอาความรู้ทางศาสตร์ มาปักลงที่กองศิลป์ .... ก็จะตีความเรื่องราวที่เป็น Abstract ได้เป็นระบบดีขึ้น
และสุดท้าย เอาความรู้ด้าน management มาปักลงที่กองของทั้ง ศาสตร์และศิลป์เพื่อจัดระเบียบทางความคิดให้มันเป็นแบบแผนชัดเจน ....
หนึ่งภาพ มันล้านความหายคะ .... แต่ถ้าให้เลือกผู้ชาย เจ๊ก็ยืนยันที่จะเลือกจากฝั่ง Art คะ
(ไม่เอาฝั่งAcademic หรือ ฝั่ง Management แน่นอน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น